ถูกพนักงานของร้านดึงหู จากกรณี น.ส.ภาวินี นักศึกษาสาว ได้เข้าไปสมัครงานที่ ร้านอาหารหรู ไวน์ คอนเนคชั่น (Wine Connection) แต่กลับถูกพนักงานของร้านดึงหู และกระชากหน้ากากอนามัยทิ้งลงที่พื้น จนนักศึกษาสาวได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวัน พร้อมทั้งแชร์คลิปวิดีโอดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ส่งผลให้พนักงานคนดังกล่าวถูกไล่ออกในทันที
ได้เข้าแจ้งความ ซึ่งเบื้องต้น น.ส.ภาวินี นักศึกษาสาว ได้เข้าแจ้งความที่ สน.ลาดกระบัง เพื่อเป็นหลักฐานสำหรับการตรวจสอบภาพเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิดภายในร้าน เพื่อยืนยันว่าเป็นผู้ถูกกระทำและไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ซึ่งพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องไว้ ก่อนจะดำเนินคดีตามขั้นตอน
เอาผิดทางพนักงานคนดังกล่าวไม่ได้ ในเวลาต่อมา น.ส.ภาวินี นักศึกษาสาวผู้เสียหาย ได้เผยความคืบหน้าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ในเรื่องคดีความนั้นยังเอาผิดทางพนักงานคนดังกล่าวไม่ได้ เพราะทางกฎหมายแล้วยังไม่ถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกาย สรุปคือไม่มีหลักฐานเอาผิด แต่ถ้าตนติดใจเอาความ ทางตำรวจก็จะดำเนินการให้ในส่วนนี้ให้
น้อมรับคำติ ส่วนกรณีที่ตำหนิตนเรื่องการไลฟ์สดในเฟซบุ๊ก ยอมรับว่าตอนนั้นพูดเร็ว รวมถึงตอนให้สัมภาษณ์ตอนนั้นตนตื่นเต้นมาก เพราะไม่เคยมีไมค์มาจ่อหน้าแบบนี้ เลยไม่ว่าจะต้องพูดแบบไหน เลยเหมือนเป็นการเล่าให้เพื่อนฟัง ตรงนี้น้อมรับคำติที่พูดจาไม่ดี
หยุดใช้ถ้อยคำรุนแรง แต่ตนก็อยากให้คนที่คอมเม้นต์ว่าตนแรงๆ คิดสักนิด และหยุดใช้ถ้อยคำรุนแรง และตำหนิติเตียนตนด้วยคำแนะนำดีๆ ให้ตนพัฒนาด้านการพูด ด้านการวาวตัวจะดีกว่า
บทเรียนในการใช้ชีวิตต่อไป ก่อนจะกล่าวถึงอดีตพนักงานร้านไวน์ ซึ่งเป็นคู่กรณีด้วยว่า คู่กรณีได้ทักข้อความมาขอโทษแล้ว แต่ตนเพิ่งเห็นข้อความ ด้วยความที่มีคนแชทเข้ามาหาตนเยอะ สำหรับตนนั้นรู้สึกว่าคู่กรณีสำนึกผิดจริงๆ และตนก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร เพราะสิ่งที่เขาเจอนั้นคงหนักพอสมควร และหวังว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตต่อไป และหวังว่าการตัดสินใจของตนในเรื่องนี้ไม่ว่าจะยอมความ หรือจะสู้คดี อยากให้คนรอบข้างเคราพในการตัดสินใจของตนด้วย
และในส่วนของเรื่องหลาน มีหลายคนบอกว่าไปสมัครงานเอาหลานไปทำไม ตอนนั้นตนคิดว่าไปสัมภาษณ์เสร็จจะไปกินบิงซูกันต่อ และหลานก็นั่งรออยู่ตรงโซนที่ทางห้างเตรียมไว้ ไม่ได้เข้าไปนั่งรอในส่วนของร้าน จึงอยากให้เข้าใจตรงนี้
พร้อมกับระบุอีกด้วยว่า ที่สำคัญตนอยากให้ทุกคนเข้ามาสอบถาม และดูที่เฟซบุ๊กของตนดีกว่า ที่สำคัญกำลังใจจากพี่ๆ ทุกคนที่มีให้ แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนแต่ก็ยังปกป้องตน ซึ่งตนเห็นทุกคอมเม้นต์ ซึ่งตนก็อยากจะขอบคุณจริงๆ
ขอปกป้องตัวเองและทำให้เต็มที่ ก่อนจะทิ้งท้ายว่า ต่อจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของทางตำรวจต่อไป ถ้าเรื่องจะเงียบหรือคู่กรณีไม่อยากมาขอโทษ หรือเปิดใจคุยกันซึ่งๆ หน้า ตรวนี้ตนคิดว่าเป็นสิทธิของเค้า แต่ในส่วนและสิทธิของตน ตนก็ขอปกป้องตัวเองและทำให้เต็มที่
เครดิตภาพ : ผู้จัดการออนไลน์, ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////